โรคขาดสารไอโอดีน
เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญปัญหาหนึ่งของประเทศ การที่ประชาชนขาดสารไอโอดีน
จะบั่นทอนคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม ซึ่งมีผลต่อศักยภาพในการพัฒนาประเทศอย่างยิ่ง
นอกจากนั้น ผู้ที่ได้รับสารไอโอดีนไม่เพียงพอ นอกจากจะมีอาการของโรคคอพอกแล้ว
ยังมีผลทำให้ร่างกายและสมองเติบโตด้อยลง รูปร่างเตี้ย แคระแกร็น ความฉลาดทางสติปัญญาด้อยกว่าปกติ
ถ้าหญิงตั้งครรภ์ขาดสารไอโอดีน ลูกที่คลอดมามีโอกาสปัญญาอ่อน เป็นใบ้
ช่วยตนเองไม่ได้ หรือที่เรียกว่า "โรคเอ๋อ"
|
ปัจจุบัน
พบว่า ประชาชนไทยในทุกภาคของประเทศ ยังประสบปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนในระดับความรุนแรงต่าง
ๆ อีกจำนวนมาก ซึ่งปัญหาดังกล่าว ไม่อาจขจัดให้หมดไปได้ ต้องมีการเฝ้าระวังและควบคุมป้องกันตลอดเวลา
เพราะหากประชาชนบริโภคอาหารที่มีสารไอโอดีนไม่เพียงพออย่างต่อเนื่องก็สามารถเกิดโรคขาดสารไอโอดีนได้อีก
ซึ่งจะมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
|
การดำเนินงานควบคุมป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนในประเทศไทยสามารถลดอัตราการเป็นโรคคอพอกให้ลดต่ำลงมาก
ทำให้ความสนใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลดน้อยลง การสนับสนุนการดำเนินงานจึงไม่ต่อเนื่อง
สม่ำเสมอ งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนน้อยลงไปมาก ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำให้โรคขาดสารไอโอดีนกลับมาเป็นปัญหาได้อีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่ทำให้สติปัญญาด้อย สมองพัฒนาได้ไม่เต็มศักยภาพ |
|
กองโภชนาการ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้ประสานความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ
คือ ICCIDD, UNICEF, WHO ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ ความชำนาญเกี่ยวกับโรคขาดสารไอโอดีน
เพื่อการประเมินผลโครงการควบคุมป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนในประเทศไทย เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการดำเนินการควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนให้มีประสิทธิภาพ
และประสิทธิผล ต่อไป |
|
คณะประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติได้เสนอแนะไว้ว่า
เพื่อการแก้ไขปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนของประเทศมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ควรมีการเฝ้าระวังโรคขาดสารไอโอดีน
|
โดยการตรวจไอโอดีนในปัสสาวะในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ หญิงมีครรภ์ หญิงวัยเจริญพันธุ์
และนักเรียนระดับประถมศึกษาทุกปี ข้อมูลที่ได้ต้องนำไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
ทั้งข้อมูลเฝ้าระวังโรคขาดสารไอโอดีน และข้อมูลเกี่ยวกับเกลือเสริมไอโอดีน
การวิเคราะห์ปัญหาเป็นรายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง จำเป็นที่จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
เพื่อการแก้ปัญหาอย่างทันเวลา นอกจากนั้น การควบคุมคุณภาพเกลือให้ได้มาตรฐาน
และการกระจายให้ครอบคลุมทุกครัวเรือนในทุกพื้นที่ มีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจัง
การประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความตระหนักแก่ประชาชน โดยเฉพาะความสำคัญของไอโอดีนดีนต่อสมอง
เป็นสิ่งที่จะต้องกระตุ้นเตือนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการศึกษาวิจัยเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานให้ได้ผลก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกระทำควบคู่กันไป
ซึ่งสอดคล้องกับเมืองไทยสุขภาพดี เป็นแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดขึ้น
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการลดปัจจัยเสี่ยงเชิงพฤติกรรมสุขภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาการเด็กด้านสติปัญญาและอารมณ์
ที่เป็นเป้าหมายการดำเนินงานที่สำคัญเรื่องหนึ่ง |
|
เป้าหมายการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความฉลาด
ตลอดจนการเจริญเติบโตของเด็กไทย ให้เต็มศักยภาพ โดยขจัดปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนให้หมดไปจากประเทศไทย |
|
|
1.
ให้มีการผลิตเกลือที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน (>30 ppm) ณ สถานประกอบการ ให้มีอย่างน้อยร้อยละ
80 ของการผลิตทั้งหมด |
2.
เกลือบริโภคเสริมไอโอดีนในระดับร้านค้าและครัวเรือน มีคุณภาพได้มาตรฐาน (อย่างน้อย
30 ppm) อย่างน้อยร้อยละ
70 |
3.
การกระจายเกลือเสริมไอโอดีน ครอบคลุมครัวเรือนอย่างน้อยร้อยละ 75
|
4.
อัตราคอพอกในนักเรียนระดับประถมศึกษา ต้องไม่เกินร้อยละ 5
|
5.
อัตราการขาดสารไอโอดีน ระดับปานกลางและระดับรุนแรงรวมกันต้องไม่เกินร้อยละ
20 (ใช้มาตรการ ตรวจวัดไอโอดีนในปัสสาวะ ในเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาและหญิงตั้งครรภ์) |
6.
ความครอบคลุมการใช้เกลือเสริมไอโอดีน ในโรงเรียนที่มีอย.น้อย และโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพอย่างน้อยร้อยละ
75
|
|
กิจกรรมการดำเนินงานควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน |
1.
ส่งเสริมให้มีการผลิตเกลือบริโภคเสริมไอโอดีนที่มีคุณภาพ ให้เพียงพอ
และทั่วถึงสำหรับประชาชนทุกพื้นที่ ได้บริโภคอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง
|
|
โดยพัฒนาระบบควบคุมคุณภาพการผลิตเกลือในสถานประกอบการทุกระดับ
โดยใช้ชุดตรวจสอบภาคสนาม ชุด I-KIT/I-Reagent ซึ่งเป็นชุดสำเร็จรูป
ใช้ได้ทั้งในห้องปฏิบัติการและภาคสนามที่อ่านค่าได้จริงใช้แทนวิธี
titration ได้ รวมทั้งจัดให้มีการสำรวจของ อย.น้อย |
|