|
|||||||||
|
|||||||||
|
|||||||||
การตรวจการได้ยินด้วยส้อมเสียง (tuning fork)
|
|||||||||
|
|||||||||
ภาพส้อมเสียง
|
|||||||||
การตรวจการได้ยินด้วยส้อมเสียงที่นิยมใช้กันมี
2 วิธี คือ 1. การทดสอบวีเบอร์ (Weber test) เป็นการตรวจเพื่อวินิจฉัยอาการในผู้ที่มีปัญหา การได้ยินแบบการนำเสียงบกพร่อง กับผู้ที่มีปัญหาการได้ยินแบบประสาทรับเสียงบกพร่อง โดยผู้นั้นต้องมีปัญหาเพียงหูข้างเดียว วิธีตรวจ ผู้ตรวจวางส้อมเสียงที่เคาะแล้วซึ่งมีความถี่ประมาณ 256 เฮิรตซ์ (hertz) ไว้ใน แนวกลางศีรษะเช่น กลางหน้าผาก กลางกระหม่อม คาง หรือฟันหน้า แล้วถามผู้ถูกตรวจว่า ได้ยินเสียงดังไปหูข้างไหนมากกว่ากัน (ภาพที่ 2) |
|||||||||
|
|||||||||
ภาพที่ 2 การตรวจการได้ยินโดยใช้ส้อมเสียงแบบการทดสอบวีเบอร์ (Weber test)
|
|||||||||
ผลการตรวจมีลักษณะดังนี้ 1. ผู้ที่มีการได้ยินปกติทั้ง 2ข้าง จะได้ยินเสียงจากส้อมเสียงดังพอๆ กันทั้ง 2 หู หรืออาจจะไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ โดยจะแจ้งว่าได้ยินตรงกลาง 2. ผู้ที่มีปัญหาการได้ยินชนิดการนำเสียงบกพร่องข้างหนึ่ง และมีการได้ยินปกติ อีกข้างหนึ่ง จะรายงานว่าได้ยินเสียงดังไปยังหูข้างที่มีการนำเสียงบกพร่อง 3. ผู้ที่มีปัญหาการได้ยินแบบประสาทรับเสียงบกพร่อง และมีการได้ยินปกติ อีกข้างหนึ่งจะรายงานว่าได้ยินเสียงดังไปยังหูข้างที่มีการได้ยินปกติ 2. การทดสอบรินเน (Rinne test) เป็นการตรวจโดยให้ฟังเสียง เพื่อเปรียบเทียบ การได้ยินเสียงผ่านทางอากาศ (air conduction) และการได้ยินผ่านทางกระดูก (bone conduction) ในหูเดียวกัน วิธีตรวจ ผู้ตรวจวางส้อมเสียงที่ถูกเคาะแล้วไว้หน้าช่องหูแต่อย่าแตะใบหูของผู้ถูกตรวจ และวางก้านของส้อมเสียงไว้ที่บริเวณกระดูกมาสตอยด์ เพื่อให้ฟังเปรียบเทียบว่าได้ยิน บริเวณไหนดังกว่าระหว่างหน้าช่องหูหรือบริเวณกระดูกมาสตอยด์ (ภาพที่ 3) |
|||||||||
|
|||||||||
ภาพที่ 3 การตรวจการได้ยินโดยใช้ส้อมเสียงแบบการทดสอบรินเน (Rinne test)
|
|||||||||
ผลการตรวจมีลักษณะดังนี้ 1. ผู้ที่มีการได้ยินปกติในหูข้างนั้น จะรายงานว่าได้ยินเสียงที่หน้าช่องหูดังกว่า เรียกว่าการทดสอบรินเนให้ผลบวก (positive Rinne test) 2. ผู้ที่มีปัญหาการได้ยินชนิดการนำเสียงบกพร่อง จะรายงานว่าได้ยินเสียงที่กระดูก มาสตอยด์ดังกว่าเรียกว่า การทดสอบรินเนให้ผลลบ (negative Rinne test) 3. ผู้ที่มีปัญหาการได้ยินแบบประสาทรับเสียงบกพร่อง จะรายงานว่าได้ยินเสียง ที่หน้าช่องหูดังกว่าเรียกว่า การทดสอบรินเนให้ผลบวก (positive Rinne test) |
|||||||||
การตรวจการได้ยินโดยใช้เสียงบริสุทธิ์ (pure tone audiometry) การตรวจการได้ยินโดยใช้เสียงบริสุทธิ์ เป็นการตรวจการได้ยินโดยใช้เครื่องมือ อิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่า เครื่องตรวจการได้ยิน (audiometer) โดยมีจุดประสงค์ดังนี้ 1. วัดระดับการสูญเสียการได้ยิน (degree of hearing loss) 2. หาตำแหน่งพยาธิสภาพที่ก่อให้เกิดปัญหาในการได้ยิน 3. ช่วยฟื้นฟูความสามารถในการได้ยินด้วยวิธีทางการแพทย์หรือวิธีฟื้นฟูอื่นๆ การตรวจการได้ยินโดยใช้เสียงบริสุทธิ์แบ่งเป็น 2 วิธี คือ 1. การตรวจการได้ยินทางอากาศ (air conduction) เป็นการตรวจโดยใช้ ที่ครอบหู (earphones) ครอบหูทั้ง 2 ข้าง เสียงจะเดินทางผ่านจากที่ครอบหูไปยัง หูชั้นนอก หูชั้นกลางและหูชั้นใน โดยใช้ช่วงความถี่ที่ตรวจคือ 250, 500, 1,000, 2,000, 4,000 และ 8,0000 เฮิรตซ์ ระดับความดังที่ใช้เริ่มตั้งแต่ -10 dBHL ( decibel hearing level ) จนถึง120 dBHL ในช่วงความถี่ 500- 4.000 เฮิรตซ์ |
|||||||||
2. การตรวจการได้ยินทางกระดูก (bone conduction test) เป็นการตรวจ โดยวางเครื่องสั่นกระดูก (bone vibrator) ไว้ที่บริเวณกระดูกมาสตอยด์ของหูข้างที่จะตรวจ เสียงจะเดินทางผ่าน กระดูกมาสตอยด์ไปยังหูชั้นใน ช่วงความถี่ที่ตรวจคือ 500 - 4,000 เฮิรตซ์และ ระดับความดังที่ใช้เริ่มตั้งแต่ -10 dBHL ( decibel hearing level) จนถึง 70 dBHL |
|||||||||
|
|||||||||
|
|||||||||
การแปลผลการได้ยิน การแปลผลการได้ยินจะอาศัยผลการตรวจการได้ยินดังต่อไปนี้ 1. การสูญเสียการได้ยินจากการตรวจการได้ยินทางอากาศ (air conduction test :AC) 2. การสูญเสียการได้ยินจากการตรวจการได้ยินทางกระดูก (bone conduction test :BC) 3. ความสัมพันธ์ระหว่างระดับต่ำสุดที่ได้ยินของการตรวจการได้ยินทางอากาศ (air conduction :AC) และ การตรวจการได้ยินทางกระดูก (bone conduction test :BC) |
|||||||||
ผลการตรวจการได้ยินสามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้ 1. การได้ยินปกติ (normal hearing) เป็นกลุ่มที่มีการได้ยินอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทั้งการตรวจการได้ยินทางอากาศ (air conduction test :AC) และการตรวจการได้ยิน ทางกระดูก (bone conduction test :BC) โดยมีผลการตรวจสรุปได้ดังนี้ - ค่าเฉลี่ยการตรวจการได้ยินทางอากาศ (air conduction :AC) ที่ 500-2,000 เฮิรตซ์ ไม่เกิน 25 dBHL - ระดับการได้ยินในแต่ละความถี่ตั้งแต่ 250- 8,000 เฮิรตซ์ไม่เกิน 25 dBHL - ระดับ การได้ยินทางอากาศ (air conduction :AC) และการได้ยินทางกระดูก (bone conduction :BC) ในแต่ละความถี่ต้องใกล้เคียงกันหรือถ้าระดับการได้ยินทางกระดูก (bone conduction :BC) ดีกว่าการได้ยินทางอากาศ (air conduction :AC) ต้องมีค่า ความแตกต่าง (air bone gap: AB gap) ไม่เกิน 10 dBHL |
|||||||||
2. การนำเสียงบกพร่อง (conductive hearing loss) เป็นกลุ่มที่มีพยาธิสภาพ ที่บริเวณหูชั้นนอกและหรือหูชั้นกลาง เสียงไม่สามารถผ่านเข้าไปสู่ คอเคลีย (cochlea) ได้สะดวก ทำให้มีปัญหาในการรับฟังเสียงทางอากาศ แต่การรับฟังเสียงทางกระดูกเป็นปกติ โดยมีผลการตรวจสรุปได้ดังนี้ - ค่าเฉลี่ยการตรวจการได้ยินทางอากาศ (air conduction test :AC) ที่ 500-2,000 เฮิรตซ์มากกว่า 25 dBHLแต่ไม่เกิน 60 dBHL - ค่าเฉลี่ยการตรวจการได้ยินทางกระดูก (bone conduction test :BC) ที่ 500 - 2,000 เฮิรตซ์น้อยกว่า 25 dBHL - มีค่าความแตกต่างระหว่างการได้ยินทางอากาศ (air conduction :AC) และ การได้ยินทางกระดูก (bone conduction :BC) (air bone gap: AB gap) อย่างน้อย 15 dBHL ใน 2 ความถี่ขึ้นไป |
|||||||||
3. ประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง (sensorineural hearing loss) เป็นกลุ่มที่มี พยาธิิสภาพที่ คอเคลีย (cochlea) หรือเส้นประสาทหู ทำให้มี ปัญหาในการรับฟังเสียงทั้งทาง อากาศ และทางกระดูกโดยมีผลการตรวจสรุปได้ดังนี้ - ค่าเฉลี่ยการตรวจการได้ยินทางอากาศ (air conduction test :AC) ที่ 500-2,000 เฮิรตซ์ มากกว่า 25 dBHL - ค่าเฉลี่ยการตรวจการได้ยินทางกระดูก (bone conduction test :BC) ที่ 500 - 2,000 เฮิรตซ์ มากกว่า 25 dBHL - ระดับการได้ยินทางอากาศ (air conduction :AC) และการได้ยินทางกระดูก (bone conduction :BC) ในแต่ละความถี่ใกล้เคียงกัน หรือถ้ามีความแตกต่าง (air bone gap: AB gap) ต้องไม่เกิน 10 dBHL |
|||||||||
4. การรับฟังเสียงบกพร่องแบบผสม (mixed hearing loss) เป็นกลุ่มที่มี พยาธิิสภาพที่เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างการนำเสียงบกพร่องกับประสาทรับฟังเสียงบกพร่องทำให้้ การรับเสียงทั้งทางอากาศและทางกระดูกมีปัญหาทั้งคู่ แต่การรับเสียงทางอากาศจะมีปัญหา มากกว่า โดยสรุปผลการตรวจได้ดังนี้ - ค่าเฉลี่ยการตรวจการได้ยินทางอากาศ (air conduction test :AC) ที่ 500-2,000 เฮิรตซ์ มากว่า 25 dBHL - ค่าเฉลี่ยการตรวจการได้ยินทางกระดูก (bone conduction test :BC) ที่ 500 - 2,000 เฮิรตซ์ มากกว่า 25 dBHL - มีค่าความแตกต่างระหว่างการได้ยินทางอากาศ (air conduction :AC) และ การได้ยินทางกระดูก (bone conduction test :BC) (air bone gap: AB gap) อย่างน้อย 15 dBHL ใน 2 ความถี่ขึ้นไป |
|||||||||
การบันทึกผลการตรวจการได้ยินจะใช้เครื่องหมายและสัญลักษณ์บันทึกลงในแบบบันทึก (audiogram) ดังตารางและภาพที่ 6 |
|||||||||
|
|||||||||
ในกรณีที่ใช้ความดังสูงสุดแล้วไม่มีการตอบสนองจะใช้สัญลักษณ์
|
|||||||||
|
|||||||||
ภาพที่ 6 ตัวอย่างผลการตรวจการได้ยิน (audiogram) ที่มีความบกพร่องเนื่องจาก
การได้ยินเสียงปืนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเวลานานและหลังจากนั้นยังฝึกยิงปืน เป็นประจำ ที่มา : http://www.freehearingtest.com/audiograms.shtml |
|||||||||
การตรวจการได้ยินโดยใช้คำพูด (speech audiometry) การตรวจการได้ยินโดยใช้คำพูดมีความจำเป็นสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการเข้าใจคำพูด ที่ี่ได้ยินในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเสียงพูดในที่มีเสียงรบกวน ผลการตรวจนี้จะนำมา พิจารณาร่วมกับการตรวจวิธีอื่นๆ เกี่ยวกับปัญหาการได้ยินจากเสียงพูดและการประเมิน การใส่เครื่องช่วยฟังตลอดจนการให้คำแนะนำแก่ผู้ที่มีปัญหา เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจ เรียกว่าเครื่องตรวจการได้ยินโดยใช้คำพูด (speech audiometer) โดยทั่วไปเครื่องมือนี้มักจะรวมอยู่ในเครื่องตรวจการได้ยินโดยใช้เสียงบริสุทธิ์ |
|||||||||
สำหรับเสียงพูดที่ผ่านเข้าไปในเครื่องสามารถผ่านออกทางไมโครโฟนโดยใช้เสียงพูด จากผู้ตรวจ หรือเสียงพูดที่บันทึกผ่านแถบบันทึกเสียงหรือแผ่นดิสก์ ( compact disc) โดยใช้ระดับความดังตั้งแต่ 10 เดซิเบล ถึง 110 เดซิเบล การตรวจการได้ยินโดยใช้ คำพูด (speech audiometry) จะไม่มีความถี่เฉพาะปรากฏให้เห็น เพราะเสียงพูดนั่น เป็นคลื่นเสียงที่มีความถี่หลายๆ ความถี่รวมกัน เสียงพูดของผู้ตรวจที่ผ่านเข้าไปใน ไมโครโฟน เรียกว่า monitored live voice (MLV) เนื่องจากเสียงของผู้พูดจะต้องมีการปรับ ให้อยู่ในระดับที่ต้องการตรวจวัดโดยผ่านตัวปรับความดัง (volume unit meter) |
|||||||||
ผู้ถูกตรวจจะตอบสนองการตรวจโดยการพูดตามที่ได้ยิน เขียนคำพูดที่ได้ยิน ลงในกระดาษ หรือชี้ไปยังภาพหรือวัตถุที่มีอยู่ในห้องตรวจตามคำพูดของผู้พูด สิ่งสำคัญ ในการตรวจ คือ การจัดตำแหน่งที่นั่งของผู้ถูกตรวจ ต้องจัดให้อยู่ในลักษณะที่ไม่สามารถ มองเห็นหรืออ่านริมฝีปากของผู้ตรวจได้ |
|||||||||
ประเภทของการตรวจการได้ยินโดยใช้คำพูด (speech audiometry) 1. ตรวจระดับเสียงพูดที่ต่ำที่สุดที่ผู้ถูกตรวจสามารถรับฟังได้
(speech - detection |
|||||||||
2. ตรวจระดับเสียงพูดที่ต่ำที่สุดที่ผู้ถูกตรวจสามารถเข้าใจว่าเป็นคำพูด (speech - reception threshold:SRT) (อย่างน้อยร้อยละ 50 ของคำที่ใช้ทดสอบในระดับเดียวกัน) คำพูดที่ใช้ทดสอบเรียกว่า สปอนเดอิก (spondaic หรือ word spondees) มีลักษณะ ดังนี้คือ เป็นคำสองพยางค์ที่ผู้ฟังคุ้นเคยมาก และมีความต่างทางสัทศาสตร์ ( phonetic dissimilarity) เพื่อสามารถแยกแยะเสียงพูด นอกจากนี้แต่ละพยางค์ยังต้องมีความดัง ใกล้เคียงกัน ( homogeneity) ตัวอย่างคำที่ใช้ในภาษาไทยได้แก่ ไฟฟ้า ดอกไม้ รองเท้า เสื้อผ้า พ่อแม่และตัวอย่างคำในภาษาอังกฤษได้แก่ baseball hotdog toothbrush cow boy airplane เป็นต้น |
|||||||||
3. ตรวจความสามารถของผู้ถูกตรวจในการแยกแยะเสียงพูด(word discrimination testing หรือ speech discrimination testing:SD) ตรวจในระดับความดังที่พอเหมาะ โดยมีจุดประสงค์เพื่อทดสอบความสามารถในการแยกแยะเสียง ช่วยในการวินิจฉัยตำแหน่ง พยาธิสภาพในระบบการได้ยิน และช่วยในการเลือกเครื่องช่วยฟัง รวมถึงการให้คำแนะนำ ในการฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยิน ในการตรวจจะใช้คำที่เป็นพยางค์เดียว และเป็นบัญชีคำที่มี ีความสมดุลของสัทศาสตร์ทางเสียงในทุกบัญชี (Phonetically Balanced word lists:PB ) ได้แก่ อ่าน เป็น เต่า ไกล ผ้า ถุงเสื้อ บ้าน แต่ละบัญชีจะมี 25 คำ คำแต่ละคำมีน้ำหนักร้อยละ 4 ถ้าผู้ถูกตรวจสามารถพูดตามได้ 25 คำ จะได้คะแนนเต็มร้อยละ 100 |
|||||||||
ลองมาตรวจคัดกรองความสามารถในการได้ยินแบบง่ายๆ กันดีกว่า
|
|||||||||
|
|||||||||
|
|||||||||